วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

[APU] เริ่มต้นชั้นปีสองกับการทำงานพิเศษครั้งแรก...(Part 1)

 (11/10/2015)

              นี่ก็ผ่านมากว่า 1 สัปดาห์แล้วกับการเริ่มต้นใช้ชีวิตนักศึกษาปีสองที่ APU

              1 สัปดาห์ยาวนานดุจหนึ่งปี

              เนื่องจากตารางเรียนที่แสนจะหนักหน่วง (ลงทะเบียนไม่ดูสภาพสังขารตัวเอง) ทำให้ร่างกายและสมองของข้าพเจ้านั้นแทบจะแหลกสลายไปกับหมู่มวลวายุอันแรงกล้าบริเวณลานน้ำพุอันกว้างใหญ่พสุธา (เหรอ) แห่งเอพียูกันเลยทีเดียว

              และนอกเหนือจากตารางเรียนอันแสนบ้าระห่ำแล้วนั้น อินี่ก็ยังไม่หยุดหาเรื่องใส่ตัว

              ตั้งแต่ปิดเทอมที่ผ่านมา ตัวข้าพเจ้าที่นอนเปื่อยไปวันๆ อยู่ในดินแดนสยามเมืองยิ้ม ก็เกิดอาการเบื่อหน่ายกับชีวิตขึ้นมา ชั่วขณะหนึ่งก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า

              ทำไมไม่ทำไบท์วะ? (ไบท์ ย่อมาจากคำว่า Bai-to หรือ Arubaito มีความหมายสั้นๆ ง่ายๆ ว่า งานพิเศษ)

              แรงบันดาลใจก็มาจากคนไม่ใกล้ไม่ไกล เอิ้นมนุษย์สุดติสท์เพื่อนร่วมบ้านร่วมทุกข์รวมสุขแม้ในยามมียามยากยามฉิบหายยามหายนะ ผู้มีจิตใจอันแกร่งกล้าไม่กลับไทยแม้ใจนั้นจะลอยไปหาข้าวเหนียวหมูปิ้งตั้งแต่ครึ่งปีก่อนโน่นแล้ว นางสละชีพเพื่อเงินและเงินในการทำไบท์ช่วงปิดเทอมที่ร้านอาหารจีนแห่งหนึ่งในเมืองเบบปุแห่งนี้ (ที่จริงร้านก็อยู่แถวๆ บ้านอ่ะแหละ)จนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ถือเป็นการใช้เวลาว่างแสนคุ้มค่านักเพราะได้ทั้งเงิน ประสบการณ์ และภาษาแม้มันจะต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา เอ๊ย น้ำพักน้ำแรง (อันน้อยนิด) ของเราก็ตาม

              ระหว่างที่เรานอนเปื่อยอยู่ที่ไทย ไอซ์มนุษย์สุดติ่งเพื่อนร่วมบ้านร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมติ่งทุกเวลาเช้าเที่ยงเย็นสามวันหลังอาหาร อีกมนุษย์ผู้มีจิตใจแกร่งกล้าไม่กลับไทยแม้หัวใจจะลอยไปหาก๋วยเตี๋ยวต้มยำเจ้าโปรดแถวบ้านแล้วก็ตาม นางก็ชักชวนให้ไปทำงานที่ร้านอาหารจีนแห่งนั้นด้วยกัน โดยไอซ์นั้นถูกชักชวนจากเอิ้นอีกที เราจึงตกลงกันว่าหลังจากที่ข้าพเจ้ากลับญี่ปุ่นไปแล้วจะไปสมัครงานที่ร้านนั้นด้วยกัน

              หลังจากที่เราเหินฟ้าจากแดนสยามเมืองมามาแลนดิ้งที่ญี่ปุ่นแดนปลาดิบ ไม่กี่วันจากนั้นเราก็ไปสมัครงาน ทว่า ตัวไอซ์ที่ชักชวนเราไปด้วยกันดันทิ้งเราไว้กลางทางเสียได้...

              นางตัดสินใจจะไม่ทำงานด้านล่าง จะยืนหยัดทำงานที่แคมปัสบนภูเขาสูงเฉียดฟ้า เอาไงล่ะทีนี้...ก็ฉายเดี่ยวสิครับ

              สำหรับร้านนี้เราสมัครเข้าไปโดยใช้ระบบ Shokai คือแปลไทยง่ายๆ เลยคือ การแนะนำการแนะนำในที่นี้หมายความถึงการที่มีคนภายในร้านหรือคนรู้จักของเทนโจ (ผู้จัดการ) แนะนำตัวเราให้เทนโจรู้จัก อารมณ์แบบระบบฝากเข้าทำงานน่ะแหละ เป็นระบบที่ไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก แค่โผล่หน้าไปให้เทนโจเห็นเค้าจะถามนู่นนี่นิดหน่อยแล้วจะตัดสินใจอีกทีว่าจะรับเราเข้าไหมอะไรประมาณนั้น

              ซึ่งผู้ที่แนะนำเราให้เทนโจแห่งร้านอาหาร China Kitchen รู้จักก็หนีไม่พ้นมนุษย์ติสท์อย่างเอิ้นนั่นเอง

               แต่อนิจจา ช่วงที่เราไปสมัครนั้นเป็นปลายเดือน คนที่ทำไบท์ที่นี่อยู่ก่อนแต่หยุดกลับบ้านเกิดกันไปชั่วคราวก็ทยอยกลับมาทำให้พนักงานเต็มไม่มีที่ว่างสำหรับมนุษย์แว่นเตี้ยอย่างเรา

              โถ ชีวิต

              เอาล่ะ แต่ชีวิตเราต้องไม่หยุดอยู่แค่นี้ งานนี้พลาดก็ต้องเดินหน้าหางานต่อไปเพื่อเอาเงินมาติ่ง เอ๊ย มายังชีพในต่างแดน หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตเปื่อยๆ ต่อไปเรื่อยๆ เพราะยังไม่เปิดเทอม อันที่จริงก็ไม่เปื่อยเสียทีเดียวหรอก เพราะก่อนกลับไทยเราได้ทำการย้ายหอจาก AP House หอพักอลวนรวมพลคนทุกชาติมาอยู่อพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่งในเมืองแล้ว อพาร์ตเม้นท์ที่เราอยู่เป็นอพาร์ตเม้นท์ขนาดกลาง เป็นห้องแบบ 3DK คือ 3ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัวไม่รวมห้องนั่งเล่น ซึ่งสมาชิกภายในบ้านก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้น คือ เอิ้น ไอซ์และเรา ซึ่งตอนนั้นเรายังจัดการเรื่องย้ายบ้านไม่ทันเสร็จเรียบร้อยก็กลับไทยไปก่อนเสียแล้ว โถถัง นี่ห้องนอนหรือเศษซากสงครามคะนี่ นั่นล่ะค่ะ เราจึงต้องเคลียร์ห้องให้เรียบร้อย ไปตระเวนแจ้งเปลี่ยนที่อยู่ที่ City hall ธนาคารสองแห่ง ค่ายมือถือ AU ที่เราเซ็นสัญญาไว้รวมถึงไปรษณีย์ด้วย ดูๆ แล้วก็ไม่ค่อยจะว่างเท่าไหร่นัก

              จนกระทั่งถึงวันว่างๆ ชิลๆ วันหนึ่ง เราก็ตระเวนเดินที่ย่านแถวๆ บ้านว่าที่ไหนมีสมัครรับคนทำไบท์บ้าง หลักการสังเกตง่ายๆ เลยคือถ้าร้านไหนรับจะมีการติดป้ายที่หน้าร้านเอาไว้ (บางร้านก็ติดไว้ด้านใน) จะมีรายละเอียดว่า รับสมัครตำแหน่งอะไรบ้าง ต้องทำกี่ชั่วโมง มีกะไหนให้ทำบ้าง ค่าจ้างชั่วโมงละเท่าไหร่ รวมถึงเบอร์โทรไว้ติดต่อเทนโจของร้าน

              ซึ่งวันนั้นเราก็ได้มาสามแห่ง แห่งแรกเป็นร้านเบเกอรี่ขึ้นชื่อของเบบปุ แห่งที่สองเป็นร้านอาหารจีนใกล้ๆ ไดโซะ แห่งสุดท้ายเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นหลัง Max Value เราได้ทำการโทรติดต่อไปที่แห่งแรกกับที่สุดท้ายเพราะมีรายละเอียดค่าจ้างเขียนไว้ชัดเจน ส่วนแห่งที่สองนั้นมีเขียนไว้เพียงเบอร์โทรเท่านั้น

              สำหรับที่แรก แค่โทรไปเราก็ได้รับความเฟลกลับมา เพราะเทนโจพูดรัวและเร็วมาก แถมใช้ศัพท์ที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อนทำให้เกิดอาการลนแบบหายนะ พูดไม่เป็นภาษากันเลยทีเดียว เทนโจเลยตัดบทว่าถ้าจะทำงานที่นี่ภาษาญี่ปุ่นต้องอยู่ในระดับดีมากเพราะต้องทำงานกับคนญี่ปุ่นล้วนๆ ก็เป็นการปฏิเสธการรับสัมภาษณ์กลายๆ ก็เป็นอันว่าอดไป

              สำหรับที่สุดท้าย เราโทรไปหลังจากเฟลจากที่แรกไม่นาน เทนโจพอรับโทรศัพท์ปุ๊บก็เหมือนจะรู้ทันทีเลยว่าเราเป็นคนต่างชาติจากสำเนียงการพูดจึงใช้คำไม่ยากมากในการสื่อสารเป็นอันว่าได้ตกลงวันสัมภาษณ์เรียบร้อย โดยเทนโจบอกว่าให้เอา Rirekusho ไปด้วย

              Rirekusho คืออะไร?

              Rirekusho คือแผ่นกระดาษเซ็ตหนึ่งที่มีไว้ให้เราใช้กรอกเวลาสมัครงาน จะมีให้กรอกชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร ประวัติการศึกษา งานอดิเรก ข้อดีข้อเสียของตัวเอง และเหตุผลที่มาสมัครงาน อะไรพวกนี้เป็นต้น ซึ่งเราจะต้องแนบรูปถ่ายไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเราสมัครงานโดยใช้วิธีปกติ (ไม่ใช่ระบบรับฝาก) ก็จะต้องใช้ไอ้ใบนี้ตลอด บางที่เราสามารถเอาไปยื่นได้เลยถ้าเห็นเค้าประกาศรับสมัคร ถ้าเค้าจะเรียกสัมภาษณ์ก็จะโทรติดต่อมา แต่ส่วนตัวแนะนำให้โทรไปนัดสัมภาษณ์ดีกว่า เราปวดหัวกับการเขียนไอ้กระดาษแผ่นนี้พอสมควร ดีที่ได้ฟ้าฟี่แห่งบ้านอรอนงค์ทั้งสี่มาช่วย

              เมื่อมาถึงวันสัมภาษณ์เราก็พกเจ้ากระดาษแผ่นนี้ไปพร้อมกับความง่วงและเบลอเพราะคืนก่อนหน้าดันซ่าไปร้องคาราโอเกะกับน้องๆ สายรหัส เมื่อไปถึงเทนโจก็รออยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเค้าก็พาเราไปนั่งโต๊ะอาหารโต๊ะหนึ่งในร้านซึ่งกลายเป็นสถานที่สัมภาษณ์ชั่วคราว สารภาพว่าวันนั้นเป็นครั้งแรกที่เข้าไปในร้านอาหารแห่งนี้เพราะเห็นจากด้านนอกก็สามารถสัมผัสได้ถึงความแพงหูฉี่จึงไม่เคยคิดจะเข้า ยอมรับเลยว่าเป็นร้านอาหาร ไม่สิ ขอใช้คำว่าภัตตาคารที่หรูหราเอาการ คิดว่าถ้าทำงานที่นี่ต้องเกร็งจนขาเป็นตะคริวแน่เพราะส่วนตัวไม่ค่อยจะถูกกับอะไรที่เป็นทางการนัก

              จากนั้นการสัมภาษณ์ก็เริ่มขึ้น เทนโจก็ถามไปเรื่อยๆ เราก็ตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง บางคำถามก็ตอบได้โง่สุดอะไรสุด การสัมภาษณ์จบลงด้วยการที่เทนโจบอกว่าจะโทรมาบอกผลวันมะรืน ลึกๆ แล้วรู้สึกว่าจะไม่ได้เพราะบางคำถามตอบได้ไม่ดีเลย นี่คิดแทนเทนโจเลยว่าถ้าเราเป็นเทนโจก็ไม่เอาอิแว่นเตี้ยหน้ามึนนี่เหมือนกัน

สองวันผ่านไปไวเหมือนโกหก

            เรานั่งลุ้นรอสายจากเทนโจทั้งวัน ไม่ใช่อะไร กลัวพี่ท่านจะโทรมาในเวลาเรียนแล้วเราไม่สามารถรับได้ แต่รอเล่ารอเล่าก็ไร้เสียงเรียกเข้าจากเบอร์ปริศนา ล่วงเลยมาจนค่ำก็เริ่มถอดใจ เปิดอนิเมะดูแก้เซ็ง ในระหว่างนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ที่ใช้ริงโทนสุดเก๋อย่างเพลง Miracle in December ของ EXO ก็ดังขึ้น

              เรา : โมชิโมชิ
              เทนโจ : สวัสดียามค่ำ นั่นใช่ เมย์ซังรึเปล่าครับ
              เรา : ใช่ค่ะ
              เทนโจ : ผมเทนโจ XX จากร้านอาหาร YY ขออภัยที่ติดต่อมาช้านะครับ
              เรา : ไม่เป็นไรค่า
              เทนโจ : ก่อนอื่น ต้องขออภัยจริงๆ นะครับที่ต้องบอกว่าคุณไม่ผ่าน
              เรา : คะ?
              เทนโจ : พอดีว่ารับคนอื่นเข้ามาแล้ว ต้องขออภัยด้วยจริงๆ
              เรา : เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ

              จากนั้นก็จบบทสนทนา
              ..........
              ..........
              ..........

              แดกจุดไปดิ เฟลไปดิ

              ยอมรับว่าค่อนข้างผิดหวังพอสมควร แม้จะถอดใจไปแล้วก็เถอะ แต่ก็นะ เค้าก็มีสิทธิ์เลือกคนที่คุณสมบัติดีกว่านี่เนอะ

              คืนนั้นก็ดูอนิเมะไปห้าตอนรวดเลยทีเดียว (การบ้านคืออะไร?)

              และแล้วจู่ๆ คำพูดของเอ๋ย มนุษย์เพศหญิงอีกนางจากบ้านอรอนงค์ทั้งสี่ เป็นมนุษย์โลกกลมคนหนึ่งผู้ที่รู้จักคนไปทั่วและคนทั่วไปรู้จักนางก็ลอยเข้ามาในหัวว่าเอ๋ยจะให้มิ้นท์ (จากบ้านอรอนงค์ทั้งสี่อีกเช่นเคย) แนะนำเข้าทำงานที่สวนสัตว์แอฟริกันซาฟารีโดยที่ตัวมิ้นนั้นทำงานที่นี่มากว่าครึ่งปีแล้ว ก่อนหน้านี้เคยมีรุ่นพี่มาเสนอไบท์นี้ในเฟสเมื่อครึ่งปีก่อนจึงรู้รายละเอียดของไบท์นี้บ้าง ตอนนั้นเราก็สนใจแต่เวลาไม่เอื้ออำนวย ปิดเทอมที่ผ่านมาก็มองข้ามไบท์นี้ไปเพราะค่าจ้างค่อนข้างถูกกว่าที่ขึ้นเพราะเป็นแบบจ้างเหมาทั้งวันตั้งแต่ 8:30 – 17:30 น. ยังไม่รวมที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อรอรถมารับเวลา 7:30 น. อีกนะแถมเป็นวันเสาร์อาทิตย์ด้วย

              คือเป็นคนชอบนอนตื่นสายไง แถมวันเสาร์อาทิตย์นี่ก็กะจะนอนตื่นสายอยู่บ้านชิลๆ เลยไม่คิดสนใจไบท์นี้ แต่วินาทีนั้นนี่แบบ เอาก็เอาวะ ตอนนี้ขอแค่มีงานทำ ตื่นเช้าแค่ไหนเราก็จะสู้!

              วันนั้นเราจึงติดต่อพี่มิ้นไป พี่มิ้นก็ตอบกลับมาว่าโอเคจะลองฝากให้ แต่พี่มิ้นเพิ่งฝากเอ๋ยเข้าไป เดี๋ยวจะลองดูก่อน ถ้าเทนโจโอเคก็โอเค แต่ทว่า...เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา อยู่ๆ เอ๋ยก็มาบอกเราว่าให้เราไปแนะนำตัวแทนเอ๋ยเพราะเอ๋ยต้องไปตรวจสุขภาพทุกวันเสาร์เลยไปทำงานไม่ได้แล้ว เป็นอันว่าจากที่คิดว่าจะไปแนะนำตัวอาทิตย์หน้าก็กลายเป็นว่าเราต้องไปแนะนำตัวตั้งแต่เมื่อวาน...

              และแล้วก็มาถึงวันแนะนำตัว (ก็เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาน่ะแหละ) เราไปรอรถจากซาฟารีมารับพร้อมกับพี่มิ้นแล้วก็แนน (อีกสาวจากบ้านอรอนงค์ทั้งสี่) และเมื่อไปถึงเราก็ต้องงงเป็นไก่ตาแตกเพราะการแนะนำของที่นี่นั้น...ไม่เหมือนที่อื่น

เมื่อไปถึงเทนโจก็ถามชื่อ (ขอเน้นว่าถามแค่ชื่อ) จากนั้นเราก็ได้รับคำสั่งให้ไปเปลี่ยนชุดยูนิฟอร์มของร้าน (เป็นร้านขายอาหารเครื่องดื่มของสวนสัตว์) เสร็จแล้วก็...เช็ดโต๊ะ เช็ดเสร็จเทนโจก็ให้แนนมาสอนงานเรา เราก็เรียนรู้งานไปกับแนนแบบงงๆ

              เดี๋ยวนะ...นี่คือรับเข้าทำงานแล้วใช่ป่ะ?

              เอาจริงเด้!?

              เป็นอันว่าตอนนี้เราก็มีไบท์ทำแล้วค่ะ ตอนนี้ทำมาได้สองวันแล้ว เดี๋ยวไว้จะมาเล่าทีหลังว่าการทำไบท์ที่สวนสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในเกาะคิวชูนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

              จากการตระเวนหาไบท์ครั้งนี้ เราก็ได้ประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เผชิญหน้ากับความท้าทายและความหวังหวัง พร้อมกับบทเรียนบางอย่างที่ได้กลับมาให้ขบคิด
สิ่งที่เราคาดหวังไว้อาจไม่เป็นไปตามที่คาดเสมอไป ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอก ระหว่างทางอาจจะสะดุด อาจจะท้อ อาจจะเฟลไปบ้างแต่ท้ายที่สุด...ก็ยังมีเส้นทางที่เราสามารถก้าวเดินต่อไปได้เสมอ แม้ว่าเส้นทางเหล่านั้นอาจไม่ใช่เส้นทางที่เราวางแผนเอาไว้ก็ตาม


บางครั้งอาจมีหลายทางให้เลือกเดินมากจนไป อยู่ที่เราว่าจะตัดสินใจเลือกเดินไปทางไหน บางครั้งอาจมองไปเห็นหนทางให้ก้าวไป พบเพียงป่าไม้รกทึบและภูเขาสูงชัน
อยู่ที่ว่าเราจะหาวิธีฝ่าป่าไม้รกทึบและภูเขาสูงชันลูกนั้นไปได้ไหม


ใครจะรู้...จุดหมายปลายทางของเส้นทางนั้น อาจดีกว่าที่เราคาดเอาไว้ก็เป็นได้  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น